วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Surface Cooler DIY

เป็นที่รู้กันในหมู่ผู้ใช้ Surface Pro ด้วยขุมพลัง Intel Core i ซึ่งแรงทะลุประสิทธิภาพในระดับ Tablet ก็แน่นอน เพราะเอา CPU เดียวกับ Notebook มาเลยทีเดียว แต่ข้อเสียก็พึงมีเป็นเงาตามตัว นั่นคือเรื่องความร้อน แม้ทาง Microsoft จะรู้เรื่องนี้ดี เลยออกแบบให้มีช่องระบายอากาศ พร้อมพัดลม แต่ก็ยังเอาไม่อยู่ เมื่อใช้งานไปซักพัก เครื่องจะร้อนจนพัดลมดัง และฝาหลังนี่ร้อนจนแทบทอดไข่ดาวได้

ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้คิดค้นสุดยอดนวัตกรรมพลิกโลก (เวอร์) โดยได้ไอเดียมาจาก ทีโน้ตบุ๊คยังมี โน้ตบุ๊คคูลเลอร์ ทำไมเซอร์เฟซจะมีบ้างไม่ได้ ก็เลยไปหาพัดลมเล็กๆ ที่ใช้สำหรับโน้ตบุ๊คคูลเลอร์นั่นแหล่ะมาทำ เมื่อได้โปรโตไทป์แล้ว ก็ไปหาตัวที่ใกล้เคียงมาทดลองทำทันที

โชคดีที่อุปกรณ์นั้นหาง่าย และใช้ได้ค่อนข้างลงตัว เรียกได้ว่า ไม่ต้องโมอะไรเลย ใช้ได้ทันที ตามภาพด้านล่าง



แบบแปะหลังตัวเครื่อง สามารถใช้งานบนตักได้

ใช้ตัวจุ๊บยึดติดกับขาตั้ง แล้วล็อคองศาคอเอาไว้ให้พอดี

 แล้วก็เสียบสาย USB ต่อกับตัวเครื่องได้เลย พกพาไปเล่นตรงไหนก็ได้ล่ะคราวนี้


ถ้ามีโต๊ะ ก็ตั้งไว้ที่โต๊ะได้เลยแต่อาจต้องจุ๊บติดกับโต๊ะหน่อย เพราะจะทำให้มั่นคงขึ้น

แน่นอนว่าถ้าใช้ไฟจากตัวเซอร์เฟซก็ยิ่งสูบแบ็ต ถ้าไม่ได้เสียบชาร์จไว้ ก็คงไม่ดีแน่
ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะพัดลม USB มันเสียบกับ Power Bank ได้

ดูมุมบนกันบ้าง

 It's Surface !!


โดยรวมแล้วแม้จะลงตัว ราคาไม่แพง อุปกรณ์หาง่าย แต่ประสิทธิภาพการทำความเย็นนั้น ยังไม่ค่อยน่าพอใจนัก แต่นี่ก็ถือเป็นตัวต้นแบบ ที่รอการพัฒนา ไว้ถ้ามีรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่านี้ จะเอามาแนะนำกันครับ สำหรับตัวนี้ มีไว้ก็อาจจะดีกว่าไม่มีเลยแหล่ะน่านะ

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รีวิว Acer aspire Switch 11



ครั้งหนึ่งในเวลาไม่นานนัก ได้เคยใช้สิ่งนี้ จึงอยากมาแสดงความเห็นเชิงรีวิวเผื่อใครสนใจ ยิ่งตอนนี้มีงานโมบาย (แต่มันก็ขายโน้ตบุ๊คด้วยนั่นแหล่ะ) ราคาลงรัวๆ และแม้จะผ่านงานโมบายไปแล้ว ราคาก็ถูกมากอยู่ดี


สำหรับตัวที่ได้รีวิว สเป็คดังนี้
CPU : Intel Core i5 4202Y 1.6 GHz
GPU : Intel HD Graphic 4200
Ram : DDR3L 4 GB
SSD 128G + HDD 500 GB on keyboard
Display : 11.6" IPS Multi Touch 1920x1080 Full HD
Stylus : Acer active Pen

มันคือโน้ตบุ๊คขนาดเล็ก ที่ทำตัวเองให้เป็นแทบเล็ตได้นั่นเอง จึงสามารถใช้ได้ทั้งแบบโน้ตบุ๊คและแบบแทบเล็ต ด้วยอาการกึ่งๆ ครึ่งๆ กลางๆ ไปทางไหนก็ไม่สุด แต่ไปได้ทุกทาง จึงต้องดูลักษณะการใช้งานด้วยว่าใครอยากใช้งานแบบไหน
ด้วย CPU Core i สุดแรงแซงแทบเล็ตทั่วไปที่ใช้ CPU Atom เรียกได้ว่าเกือบๆ เท่าโน้ตบุ๊ค ทำให้การประมวลผลและใช้งานทั่วไปได้ดีและรวดเร็ว แทบไม่ต่างจากโน้ตบุ๊คก็ว่าได้ แถมเป็นรหัส Y ซึ่งจะประหยัดพลังงานกว่ารหัส U (ของโน้ตบุ๊ค) พอสมควรทีเดียว ทำให้ใช้งานได้ยาวนานกว่าอย่างเห็นได้ชัด
หน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว หากเป็นการใช้งานแบบแทบเล็ตจึงดีเยี่ยม ไม่ใหญ่จนเกะกะ ไม่หนักจนพกลำบาก ทัชสกรีนดีและแม่นยำ แต่พอใช้งานเป็นโน้ตบุ๊คเลยกลายเป็นจอเล็กไปเลย ดูอะไรลำบากนิดหน่อย แม้จะขยายไอคอนและข้อความขึ้นมาเป็น 200% แต่ก็ไม่ใช่ทุกโปรแกรมจะรองรับ ตรงนี้ หากใครใช้งานเอกสาร เล่นเน็ตทั่วไป คงไม่เป็นอะไรมากเท่าไหร่
ด้วยความที่ตัวเครื่องไม่มีช่องระบายอากาศ และออกแบบไม่ให้มีพัดลม เมื่อใช้งานไปจน CPU ร้อน ทำให้ความร้อนนั้นเกิดการสะสมได้ง่าย แต่ก็แลกมากับการที่ไม่มีเสียงพัดลมกวนใจ ทั้งยังประหยัดแบ็ตในส่วนพัดลมได้ด้วย
กล้องที่ให้มา มีเพียงด้านหน้าแบบ fix focus 2 ล้านพิกเซลเท่านั้น และคุณภาพก็แย่มาก กล้องหน้าโทรศัพท์มือถือสมัยนี้ยังชัดกว่า แม้แต่ Acer Crystal eye webcam ของค่ายตัวเองเมื่อหลายปีก่อน ยังจะชัดกว่าเลย ถือว่าสอบตกเรื่องกล้องไปโดยปริยาย แถมไม่มีกล้องหลังด้วย ใครที่ชอบถ่ายรูปกรุณาลืมมันไป
สิ่งที่เหมือนเป็นจุดเด่นอีกอย่างคือ ที่คีย์บอร์ด จะมี HDD ขนาด 500 GB แถมมาให้ ทำให้เมื่อรวมร่างกันเป็นโน้ตบุ๊ค สามารถเก็บข้อมูลเพิ่มได้อีกมาก เหมาะสำหรับข้อมูลที่ไม่ค่อยเรียกใช้บ่อยๆ หรือเก็บถาวร เพราะเมื่อถอดจอไปเป็นแทบเล็ต จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้นั่นเอง น่าเสียดายที่ไม่แถมแบ็ตมาให้ที่คีย์บอร์ด ซึ่งจะช่วยให้การใช้งานนั้นยาวนานขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว
สำหรับปากกา Acer Active Pen ซึ่งใช้แบตเตอรี่ขนาด AAAA 1 ก้อนนั้น หากนำมาขีดๆ เขียนๆ จดบันทึกอะไรแล้ว ถือว่าใช้งานได้ดี เพราะปากกามีการรองรับแรงกด ไม่ใช่เป็นแบบปากกาหัวมนใช้แทนนิ้ว หากแต่จะนำมาใช้งานวาดรูป ซึ่งต้องใช้ความประณีตและใช้ความแม่นยำของแรงกดสูงนั้น บอกเลยว่าไม่ผ่าน ปากกาเอเซอร์ ไม่สามารถใช้งานได้ดีสำหรับการวาดรูปเลย
สำหรับแบตเตอรี่ หากดูที่ความจุจะอยู่ที่ 2,850 mAh ซึ่งดูน่าตกใจมากว่าทำไมมันน้อยนัก ยังสู้แทบเล็ตแอนดรอยด์บางยี่ห้อไม่ได้เสียอีก แต่การใช้งานนั้นทางเอเซอร์กล่าวว่าได้ถึง 6 ชั่วโมง ซึ่งเอาจริงๆ ตีไว้ 4-5 ชั่วโมงก็พอแล้ว และด้วยความที่มันเป็นโน้ตบุ๊ค ทำให้การชาร์จไฟด้วย Power Bank แบบแทบเล็ตทั่วไปนั้น ไม่สามารถทำได้ หากเล่นจนแบ็ตหมดนอกสถานที่ ก็ต้องวิ่งหาปลั๊กกันอย่างเดียว
พอร์ตเชื่อมต่อ มี USB 3.0 ขนาด Full Size มาให้ ทำให้การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใดๆ นั้นทำได้สะดวก ไม่ต้องหาหัวแปลงมาต่อให้วุ่นวาย นอกจากนั้นยังมีพอร์ต Micro HDMI เพื่อเชื่อมต่อออกหน้าจออื่นได้อีก ที่คีย์บอร์ดก็ยังมี USB 2.0 ให้อีก 1 พอร์ต หากใช้งานแบบโน้ตบุ๊คก็ใช้ต่อเมาส์ได้สบาย ตัวเครื่องไม่รองรับการใส่ซิมส์ ดังนั้น หากจะเล่นอินเตอร์เน็ต จำเป็นต้องต่อผ่าน Wifi, Mifi หรือ Aircard เท้่านั้น
การพกพา หากเป็นเพียงแทบเล็ตนั้น ถือว่าเบาและพกพาง่าย แต่หากใส่คีย์บอร์ดลงไปด้วยแล้ว น้ำหนักจะขึ้นไปถึง 1.7 กิโลกรัม ทำให้เริ่มหนัก และรู้สึกว่า มันไม่ใช่แทบเล็ตแล้ว ซึ่งก็แน่นอน เพราะมันเป็นโน้ตบุ๊คนี่นา

สรุป
ด้วยราคาเปิดตัวอย่างโหดร้าย 29,900 แพงกว่า Surface Pro 3 รุ่นล่างสุดเสียอีก ทำให้การจะเลือกซื้อนั้นอาจต้อง คิด วิเคราะห์ แยกแยะ เยอะหน่อย แต่ด้วยตอนนี้ราคาลงฮวบฮาบจนเหลือเพียง 19,900 ทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อนั้นง่ายขึ้นมาก และหากใครที่ต้องการคอมพิวเตอร์ติดตามตัวแบบครบครัน ทั้งทำงานและเล่น ต้องบอกว่า Acer aspire switch 11 นี้เหมาะทีเดียว จากที่ใช้งานดู พบกว่าการถอดหน้าจอไปเป็นแทบเล็ตแล้วถือไปทำงานหรือเล่นนอกสถานที่เป็นอะไรที่คล่องตัว และหากกลับมานั่งที่โต๊ะ ก็ใส่คีย์บอร์ดใช้งานเป็นโน้ตบุ๊คได้ เพียงแต่เพราะปากกาที่ไม่โอเคกับการวาดรูปเป็นอย่างมาก หากใครที่ซีเรียสเรื่องปากกาต้องมองผ่านมันไปได้เลย แต่ถ้าชอบดีไซน์และประสิทธิภาพ จะไปซื้อปากกา Bluetooth มาใช้เพิ่มก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด
เหมาะสม ดีงาม : กับผู้ใช้งานทั่วไป ทำงานเอกสาร ที่ต้องการคีย์บอร์ด และเดินทางบ่อยๆ
อย่าสนใจเลย : กับผู้ใช้งานปากกาอย่างจริงจัง วาดรูป และผู้ที่ชอบถ่ายรูป


มันเท่ มันสวย มันดูดี ประสิทธิภาพสูง คล่องตัว ราคาถูก(แล้วในตอนนี้) เสียก็แต่ปากกา ที่ยังห่างชั้นกับ Galaxy Note (Wacom) มากนัก นอกจากนั้นแล้วถือว่าทำได้ดีในหลายๆ อย่าง หากใครมองๆ แทบเล็ตวินโดวส์ในราคาไม่แพงมากอยู่ Switch 11 ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจจริงๆ ครับ

หมายเหตุ : ขณะเขียนรีวิว ของไม่อยู่กับตัวแล้ว และตอนถ่ายภาพก็ไม่กะจะทำรีวิว ตอนนี้จึงไม่สามารถทดลองหรือถ่ายภาพเพิ่มเติมได้อีก

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

การตั้ง Picture Style ในการถ่ายวีดีโอ

หมายเหตุ : คลิบนี้ใช้อุปกรณ์บันทึกเสียงที่ต่างกันถึง 3 อย่าง
จึงทำให้เสียงออกมาไม่เหมือนกันในบางช่วง

คลิบนี้เป็นการแนะนำการตั้งค่า Picture Style ของกล้อง DSLR เวลาที่เราจะใช้ถ่ายวีดีโอนะครับ
แต่ไม่ใช่แค่แนะนำว่า ไปตั้งตรงไหน (เพราะอันนี้น่าจะหาทางตั้งกันไม่ยาก แถมในคู่มือก็มีมากมาย) แต่จะบอกนี้คือ ตั้งแบบไหนถึงจะได้ภาพออกมามีคุณภาพที่สุด และยืดหยุ่นในการนำไปปรับใช้มากที่สุด เท่าที่กล้องจะทำได้ (แน่นอนว่ารุ่นที่สูงกว่า ราคาแพงกว่าย่อมทำได้ดีกว่า)

โดย Picture Style ที่เราจะตั้งกันนี้ เรียกกันว่าแบบ Flat (แบนนั่นเอง) หรืออาจจะชื่อ Cine Style (Cinema Style) ก็ได้ สามารถไปดาวน์โหลด Preset มาใช้ หรือตั้งเองก็ทำได้ไม่ยาก (ดูตามคลิบ)

ที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะแบบ Flat จะทำให้ภาพที่ได้มี Contrast ต่ำ สีจะไม่เข้ม ภาพจะจืดๆ แต่แบบนี้แหล่ะ ข้อมูลภาพในส่วน Hi-light และ Shadow จะถูกบันทึกไว้มากกว่าแบบ Standard เมื่อเราเอามาปรับดึงแสงสว่างขึ้นหรือลดแสงลง เราสามารถ "ขุด" รายละเอียดขึ้นมาได้พอประมาณ 

จริงๆ ถ้าเป็นกล้องระดับสูง สามารถที่จะถ่ายวีดีโอแบบ RAW ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับถ่ายภาพแบบ RAW ในรูปแบบภาพนิ่งนั่นเอง แต่จะใช้พื้นที่ในการบันทึกไฟล์มากมายเลยทีเดียว

นี่คือภาพเปรียบเทียบระหว่างการถ่าย Picture Style แบบ Standard และแบบ Flat


เมื่อถ่ายตอนกลางวัน แสงสว่างเพียงพอ จะเห็นได้ว่าแบบ Standard นั้นสีสวยดีอยู่แล้ว แต่แบบ Flat สีจะไม่สวย แถมเวลาเอาไปตัดต่อ ต้องมาปรับแสงสีอีก เป็นการเพิ่มงานให้ตัวเอง แล้วจะทำทำไม?

พอมาดูกลางคืนบ้าง....


จะเห็นได้ชัดเลยว่า พอกลางคืนแล้ว แสงน้อย แบบ Standard ที่มี Contrast ปกติ จะทำให้ภาพดูมืดไปเลย ในขณะที่แบบ Flat กลับกลายเป็นสว่าง ภาพดูเนียนสวยกว่าซะอย่างนั้น

นอกจากนี้ การถ่ายมาแบบ Flat จะทำให้เราได้วัตถุดิบที่ดีกว่า เมื่อนำมาปรับสี (Color Grading) ให้ได้ Mood & Tone ที่ต้องการ เราจะได้สีที่สวยกว่า เกิด Artifact ที่ภาพ (ภาษาบ้านๆ ก็คือ เกิดรอยกลาก เละ บนภาพนั่นแหล่ะ) น้อยกว่า เพราะการปรับสีมากๆ จะทำให้ภาพเสียหาย แต่ภาพแบบ Flat จะมีความเข้มข้นของสีน้อยกว่าปกติอยู่แล้ว ทำให้การปรับเปลี่ยนสีจึงน้อยกว่า ภาพจึงเสียหายน้อยกว่า

นี่คือตัวอย่างการปรับแก้สี ให้เป็นไปตาม Mood & Tone ที่ต้องการ แบบ 3 Ways Control (ปรับตรง Hi-light, Midtone, Shadow)


แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า การจะถ่ายทุกครั้ง ต้องใช้ Picture Style Flat เสมอไป อันนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะงานที่ทำด้วย หากว่าไม่ต้องการเพิ่มขั้นตอนการทำงาน หรือมีเวลาน้อย หรือไม่ต้องการแก้สีอะไรมากมาย ก็สามารถใช้ Picture Style Standard ถ่ายได้ โดยเฉพาะเวลากลางวันที่แสงสว่างเพียงพออยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นกลางคืน แสงน้อย ก็ควรใช้แบบ Flat เพื่อให้ภาพไม่มืดเกินไปนั่นเอง

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

Traveller Memo issue 1

หนังสืออิเล็คทรอนิคส์ (E-Book) โดย NUTARTWORKS

เริ่มมาจาก เป็นคนชอบถ่ายรูป และมีแนวคิดที่อยากเดินทางไปเที่ยวตามที่ต่างๆ และถ่ายรูปเก็บไว้ รวมถึงบันทึกเรื่องราวที่ประสบพบเจอมาด้วย จากที่แต่ก่อนจะแค่อัพเฟซบุ๊ค แล้วจบแค่นั้น แต่รู้สึกว่า อยากให้ภาพถ่ายและเรื่องราวของเรามันเป็นชิ้นเป็นอันและดูมีคุณค่ามากขึ้น ก็เลยอยากทำเป็นหนังสือเล่มๆ ขึ้นมา โดยเริ่มจากทำ E-book ก่อน เพราะทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้ทุนอะไรมาก และเผยแพร่ได้ง่าย ก็เลยเกิดเป็นหนังสือเล่มแรกอันนี้ขึ้นมา

ขอเชิญชมเล่มแรกได้เลยครับ



สำหรับเนื้อหาในเล่มนี้ ซึ่งถือเป็นเล่มแรก ลองๆ ทำดูครับ อาจมีข้อผิดพลาดบ้าง
ยังไงก็คอมเม้นต์ติ-ชม หรือเสนอแนะอะไรได้นะครับ จะได้นำไปพัฒนาในเล่มต่อๆ ไป ครับ

จำนวน 27 หน้า (รวมปก) ขนาดไฟล์ 12.9  MB

ดาวน์โหลด : Click

** ทดสอบอ่านด้วย iPhone 4s แบบเต็มจอแล้ว พบว่าอ่านได้ **


วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว Android Apps : Photomate R2


ครั้งนี้เป็นการรีวิวแอ๊พของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ตัวหนึ่ง ชื่อ Photomate R2 เป็นแอ๊พที่ใช้ในการดูภาพและปรับแต่งภาพ โดยจะมีเครื่องมือในการปรับแต่งเยอะมาก ละเอียดกว่าแอ๊พแต่งภาพทั่วไปเยอะมาก เรียกได้ว่า เทียบชั้นกับโปรแกรมของค่าย Adobe อย่าง Lightroom หรือ ACD See Pro เลยทีเดียว ที่สำคัญและถือเป็นจุดเด่นก็คือ สามารถดูและปรับแต่งไฟล์ RAW (ไฟล์ดิบจากกล้อง DSLR) ได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แอ๊พแต่งภาพทั่วไปไม่มี ในคลิบจะเป็นการสาธิตและอธิบายอย่างคร่าวๆ ให้ดูถึงภาพรวม แต่ยังไม่ได้เจาะลึกอะไรมาก

นี่เป็นการรีวิวครั้งแรก อาจจะมีอะไรขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง ก็จะปรับปรุงและพัฒนาในคลิบต่อๆ ไปครับ

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

การตั้งค่ากล้อง DSLR ถ่ายวีดีโอ


เป็นคลิบต่อเนื่องจากคลิบที่แล้ว โดยในคลิบนี้จะแนะนำการเลือกปรับโหมดกล้อง DSLR ในการถ่ายวีดีโอ ซึ่งจะมี 3 แบบคือ Full Auto, Semi-Auto และ Manual ให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ


หมายเหตุ : กล้องที่ใช้ในการแนะนำ เป็นกล้อง Canon ระดับ Entry Level

Full Auto

เหมือนกับโหมดภาพนิ่ง คือเราไม่ต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะ อะไรทั้งสิ้น แค่ถือ ดูจอ กดปุ่มอัด แค่นั้น กล้องจะตั้งค่า Speed Shutter กับค่า F และ ISO อัตโนมัติ อย่างมากอาจจะต้องเลี้ยงโฟกัสเอง (แต่ถ้าระบบออโต้โฟกัสแม่นยำ อย่างกล้อง Canon EOS 70D ก็สบายใจได้) ถ้าไม่นับเรื่องน้ำหนักและการจับถือ ก็เหมือนใช้กล้องถ่ายวีดีโอเลยทีเดียว แต่เพราะระบบออโต้นี่แหล่ะ กล้องจะดูจากแสงที่เข้ากล้อง ถ้าเจอแสงหลอก หรือย้อนแสง ภาพก็อาจจะได้ไม่ใช่อย่างที่เราต้องการ วิธีแก้เบื้องต้นคือ ถ้าหลีกเลี่ยงมุมย้อนแสงได้ ก็พึงกระทำ ถ้าไม่ได้ ก็ต้องไปโหมดอื่นแทน

Semi-Auto

เป็นระบบกึ่งอัตโนมัติ จะว่าไปโหมดนี้ก็ถือเป็นทางสายกลาง เพราะเมื่อเราถ่ายในสถานการณ์ต่างๆ สภาพแสงอาจเปลี่ยนไปได้ทุกเมื่อ แค่วัตถุเปลี่ยนสี หรือหันคนละมุม แสงก็ไม่เท่ากันแล้ว เมื่อเรารู้สึกว่าภาพสว่างไปหรือมืดไป ไม่ได้ดั่งใจ ก็สามารถปรับ เพิ่ม/ลด ค่าชดเชยแสง ให้มืดลงหรือสว่างขึ้นได้ โดยกล้องจะรับทราบความต้องการของเราแล้วไปตั้ง Speed Shutter กับค่า F และ ISO ใหม่ให้สอดคล้องกัน จึงเหมาะกับถ่ายในทุกสถานการณ์ แต่ทั้งนี้ ถ้าถ่ายย้อนแสงตรงๆ แสงที่เข้ากล้องมากๆ จะทำให้กล้องคิดว่าแสงสว่างเยอะเหลือเกิน แม้เราจะปรับค่าชดเชยแสงเต็มที่แล้วก็ยังไม่พออยู่ดี หากเป็นเช่นนี้คงต้องไปโหมดถัดไป

Manual

โหมดควบคุมด้วยตัวเองทุกอย่าง อันนี้เราสามารถตั้งค่าอะไรเองได้ตามใจชอบ เอาที่สบายใจได้เลย แต่ทว่า หากถ่ายภาคสนาม นอกสถานที่ นอกประตู (outdoor) สภาพแสงอาจแกว่งไปแกว่งมาตามเหตุปัจจัยต่างๆ แล้วบางทีจะมาตั้งค่าใหม่ทุกครั้งที่ถ่าย ก็ดูจะเหนื่อยเกินไป แต่นั่นยังไม่แย่เท่ากับกำลังถ่ายๆ อยู่แล้วสภาพแสงเปลี่ยน ต้องมาหมุนวงล้อเปลี่ยนค่ากลางทาง แบบนี้ไม่โอเคเป็นแน่ ฉะนั้นโหมดนี้จึงเหมาะกับการถ่ายในประตู (Indoor) ในห้อง ในพื้นที่ที่แสงคงที่ ควบคุมแสงได้ หรือถ่ายกลางแจ้งในสภาพแสงที่คงที่ก็ได้เหมือนกัน

แล้วถ้าตัวแบบที่เราจะถ่าย ใส่ชุดดำ หน้าขาว เกิดคอนทราสมากมาย จะทำอย่างไร ?
คำตอบคือ ถ้าจัดแสงใหม่ได้ ก็ทำเสียเถิด แต่ถ้าเป็นลักษณะถ่ายงานอีเวนท์ เราไม่สามารถไปสั่งปรับแสงได้ ก็คงต้องเลือก ซึ่งก็ควรเลือกที่เห็นหน้าตัวแบบชัดแล้วยอมให้ชุดมืดไป ดีกว่าชุดกำลังดี แต่หน้าตัวแบบโอเวอร์หายไปหมด

** โหมด M นี้ เราสามารถตั้ง ISO Auto ได้ (กล้องรุ่นใหม่ๆ สามารถตั้งได้) ฉะนั้น เมื่อสภาพแสงเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล้องจะขยับค่า ISO เอาเองได้ โดยที่ค่า F และ Speed Shutter ยังคงที่ตามที่เราตั้ง ช่วยให้เราไม่ต้องไปตั้งค่า Shutter หรือ F ใหม่บ่อยๆ **