แรกเริ่มเดิมทีนั้น เราดูหนังกันแบบม้วนวีดีโอ แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป.. เพราะวันนี้ดูหนังกันเป็นแผ่นไม่ใช่เป็นม้วนแล้ว เราเห็นเรารู้แค่ว่า DVD ภาพมันชัดกว่า VCD และราคาก็แพงกว่า แถมมีทั้ง DVD5 , DVD9 อีก แล้วไอ้ SVCD นี่ บางคนอาจไม่รู้จัก มันคืออะไรกันเหรอ และถ้าเราอยากจะทำมันขึ้นมาเผยแพร่งานตัวเองบ้าง จะโอเครึเปล่า? เรามาดูกันทีละอย่างดีกว่า
VCD (Video Compact Disc)
เป็นแผ่นหนังจากแผ่น CD ธรรมดา ตอนที่เขาสร้างมันขึ้นมานั้น เพียงเพราะใช้ในการเก็บข้อมูลและเป็นแผ่นเพลงแทนเทปคลาสเซ็ต ต่อมาเห็นว่ามันก็เอามาดูหนังได้ แต่ด้วยความจำกัดเรื่องเนื้อที่อันน้อยนิดของมัน จึงทำให้หนังหนึ่งเรื่องต้องมี 2-3 แผ่น แถมความคมชัดของภาพก็สู้วีดีโอม้วนเทปไม่ได้อีก คุณภาพแค่พอดูได้เท่านั้น แต่ก็ยังถือเป็นการก้าวข้ามจากระบบแอนะล็อคมาดิจิตอล ก็เลยเป็นที่นิยม เนื่องด้วยขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สามารถดูในคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย (ในยุคนั้นถ้าจะซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ ต้องพิจารณากันว่า ดูหนังได้รึเปล่า? กันเลยทีเดียว)
ข้อมูลทางเทคนิคของ VCD
Video format MPEG-1 / CBR
Bit rate 1.15 Mbps
resolution PAL 352x288 / NTSC 352x240
Audio format MPEG-1 Layer II
Audio bit rate 224 kbps
เนื่องจาก Bit rate ที่ต่ำมากของวีซีดี ทำให้ค่าความละเอียดต้องต่ำลงด้วย ฉะนั้นถ้าดูในโทรทัศน์จอเล็กๆ ก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถ้าดูในจอใหญ่ๆ จะเห็นความแตกเป็นเหลี่ยมผสมภาพเบลอมัว ดูแล้วหมดอารมณ์ในทันที แต่ด้วยราคาที่ถูกของมัน จึงยังเป็นที่นิยมอยู่อย่างแพร่หลาย หากคุณคิดจะทำวีดีโอของคุณเป็นวีซีดีแล้ว ต้องยอมรับก่อนว่าคุณภาพที่ได้นั้นน้อย ซึ่งในยุคนี้ขอให้มองผ่านมันไปเลย และไม่ต้องสนใจ เพราะถือเป็นสิ่งตกยุคไปแล้ว
SVCD (Super Video Compact Disc)
ก็เป็นแผ่น CD ธรรมดาอีกแหล่ะ แต่ด้วยความทนไม่ได้ (ของใครไม่รู้) กับภาพห่วยๆ ของ VCD จึงได้ก่อเกิด SVCD ขึ้นมา มีความคมชัดของภาพและเสียงอยู่ระหว่างกึ่งกลางของ VCD และ DVD และเนื่องด้วยภาพและเสียงที่มีคุณภาพดีขึ้น ทำให้เนื้อที่เลยใหญ่ตามไปด้วย ฉะนั้น หนังเรื่องหนึ่งอาจใช้ 3-4 แผ่นก็เป็นได้ แต่แผ่น SVCD นี้ไม่ค่อยได้แพร่หลายนัก ฉะนั้นเราจึงไม่ได้เห็นแผ่นแบบนี้วางขายกันนั่นเอง แต่เราก็ทำมันขึ้นมาเองได้
ข้อมูลทางเทคนิคของ SVCD
Video format MPEG-2 / CBR or VBR
Bit rate upto 2.6 Mbps
resolution PAL 480x576 / NTSC 480x480
Audio format MPEG-1 Layer II
Audio bit rate 32 - 384 kbps
สื่อนี้สามารถเล่นได้ในเครื่องเล่น VCD ที่เขียนไว้ว่าเล่น SVCD ได้ หรือเครื่องเล่น DVD ก็ได้ สำหรับยุคนี้ก็ขอให้มองผ่านมันไปเช่นกัน
DVD ( Digital Versatile Disk หรือ Digital Video Disk)
ทุกคนคงรู้จักดีแล้ว กับแผ่นที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับความจุได้มากขึ้น หน้าตามันก็เหมือนกับ CD แต่เทคโนโลยีมันต่างกัน ทำให้ความคมชัดและเสียงดีกว่าเดิมมากๆ ส่วน DVD5, 9 มันต่างกันตรงความจุ ซึ่ง DVD9 จะจุได้มากกว่า ทำให้เขาใส่ไฟล์หนังที่ใหญ่กว่า ชัดกว่าลงไปได้ พูดง่ายๆ ก็คือชัดกว่า DVD5 นั่นเอง ราคาก็แพงไปด้วย
ข้อมูลทางเทคนิคของ DVD (DVD Movie)
Video format MPEG-2 / CBR or VBR
Bit rate upto 9.8 Mbps
resolution PAL 720x576 / NTSC 720x480
Audio format MPEG-1 or MPEG-2
Audio bit rate 32 - 384 kbps
ด้วยเนื้อที่ที่มากเหลือเฟือของแผ่นดีวีดี ทำให้สามารถทำ Motion Menu ใส่เสียงเอ็ฟเฟกต์ตอนเริ่มแผ่นได้ (จริงๆ VCD และ SVCD ก็ทำได้อ่ะแหล่ะ อยู่ที่โปรแกรมใช้งาน) ทำทุกอย่างเหมือนหนังที่คุณซื้อมาดูได้เลยล่ะ (ถ้าขยันพอ) ทั้งยังทำระบบเสียง 5.1 , Dolby Digital ได้อีก ยังไม่พอ ยังทำ Subtite และระบบเสียงหลายภาษาได้อีกด้วย สำหรับยุคนี้ก็ยังไม่สายที่จะทำสื่อชนิดนี้เผยแพร่ เพราะจัดว่าเป็นขั้นต่ำและยังเป็นที่นิยมแพร่หลายกันอยู่มาก แม้จะมีแผ่น Blu-ray มาแทนที่ DVD แล้วก็ตาม แต่กลับเป็นที่นิยมน้อย และน้อยคนมากๆ ที่จะมีเครื่องอ่านแผ่น Blu-ray
Blu-ray
เป็นแผ่นที่หน้าตาและขนาดเหมือน DVD เป๊ะ แต่ทว่ามีความจุมากกว่าหลายเท่า (แผ่นบลูเรย์มีความจุสูงสุดประมาณ 50 GB) จึงสามารถใส่ข้อมูลลงไปได้เยอะ จึงสามารถใส่ไฟล์ภาพยนตร์ประเภท Hi-Def หรือ High Definition วีดีโอความละเอียดสูงลงไปในแผ่นได้ ทั้งยังใส่ภาพในระบบ 3 มิติลงไปได้อีกด้วย แรกทีเดียวเป็นคู่แข่งกัดกันมากับ HD-DVD แต่ก็เอาชนะมาได้ ก็เลยเป็นที่นิยมของตลาด ณ ปัจจุบัน
แม้จะมีความคมชัดของภาพและเสียงแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นที่นิยมน้อยกว่า DVD อยู่นั่นเอง อาจเพราะเครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์นั้นมีราคาสูง อีกทั้งไดรว์อ่านแผ่นบลูเรย์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ก็ยังมีราคาค่อนข้างแพงอยู่ ทำให้ไม่มีใครซื้อใช้ ประกอบกับมีการตีตลาดจากเครื่อง Harddisk player (เครื่องเล่นไฟล์ภาพยนตร์จากฮาร์ดดิสค์หรือแฟลชไดรว์) ซึ่งสามารถดูไฟล์ภาพยนตร์แบบ Hi-Def ได้เช่นกัน และมีราคาถูกกว่า ทั้งไม่ต้องซื้อแผ่นภาพยนตร์บลูเรย์ซึ่งแผ่นหนึ่งมีราคาหลายร้อยไปจนถึงหลักพัน แต่สามารถหาดาวน์โหลดไฟล์หนังจากอินเตอร์เน็ตมาดูได้ง่าย (แถมโทรทัศน์สมัยนี้แค่เสียบแฟลชไดรว์ก็เลือกดูไฟล์วีดีโอได้เลยอีกต่างหาก) เราจึงไม่ต้องสนใจทำไฟล์วีดีโอตามมาตรฐานเครื่องเล่นบลูเรย์อีกต่อไป แค่ทำให้ตรงตามมาตรฐานความละเอียดแบบ HD, Full HD ก็พอ
ปัจจุบันมีความละเอียดระดับ UHD หรือ Ultra HD แล้ว แต่ทว่ายังเป็นเทคโนโลยีใหม่ และมีราคาสูงอยู่ จึงยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ก็เหมือนกับ HD ตอนออกใหม่ๆ บรรดาทีวีและกล้องวีดีโอ HD ในตอนนั้นก็ยังแพงอยู่ อาจต้องรออีก 2-3 ปี กว่า UHD จะลงมาเท่ากับ HD ในตอนนี้